วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559


การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
          ปัจจัยพื้นฐานของกาสร้างเสริมบุคลิกภาพ คือ
1. ลักษณะโครงสร้างของบุคลิกภาพ
2. ปฏิสัมพันธ์ในสังคม (Social interaction)
3. การเรียนรู้ทางสังคม (Social leaning)
4. ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
1. ลักษณะโครงสร้างของบุคลิกภาพ เช่น ความเข้าใจในเรื่อง อิด อีโก้ ซูเปอร์อีโก้ ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ซึ่งได้
กล่าวถึงว่า บุคลิกภาพ จะเกิดขึ้นอย่างไรนั้น ก็ย่อมจะต้องใช้อิทธิพลของอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้ หากเมื่อใดที่บุคคลใช้อิด ซึ่ง
เป็นความพึง พอใจส่วนบุคคล และเป็นสัญชาตญาณ ตามธรรมชาติแล้ว บุคลิกภาพที่ปรากฏออกมา ก็จะมีลักษณะก้าวร้าว เห็น
แก่ตัว แต่หากบุคคลได้ใช้ กระบวนการของซูเปอรอีโก้เป็นตัวประสาน เพื่อลดความต้องการของอิด ให้น้อยลงแล้ว บุคคลก็จะ
สามารถแสดงบุคลิกภาพอันเป็น ที่พึงประสงค์ของสังคม ในลักษณะของอีโก้ได้ บุคลิกภาพที่เกิดในลักษณะของอีโก้ นี้จะเป็นที่
ยอมรับของสังคม ดังนั้น การสร้างเสริมบุคลิกภาพ จึงมีเป้าหมายที่ส าคัญใน การที่จะให้บุคคลได้แสดงออกในลักษณะของอีโก้
ดังนี้เอง
"ตัวตน" (self) ตามทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรู้ตัวเองนั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากต่อบุคลิกภาพ
ของบุคคล
การที่บุคคลมีความเข้าใจและรู้จักตนเองได้ดีนั้น ย่อมหมายถึงว่าบุคคลได้สามารถประสานสัมพันธ์ระหว่างการมอง
ตนเอง และประสบการณ์แห่งความเป็นจริงที่มีอยู่ได้ ท าให้บุคคลไม่เกิดความขัดแย้งในตนเอง บุคลิกภาพที่เกิดขึ้นจะเป็น
ลักษณะของการที่ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคม แต่ในทางตรงข้าม ถ้าบุคคลไม่สามารถที่จะมองตนเองได้สอดคล้องกับ
ความเป็นจริงแล้ว ก็จะเกิดความขัดแย้งในตนเอง ท าให้ต้องดิ้นรนเพื่อลดความขัดแย้งในตนด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเหตุให้บุคคล
เกิดบุคลิกภาพในด้านของการต่อต้านสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความนับถือตนเอง ดังนั้น การสร้างเสริมบุคลิกภาพจึง
เป็นเรื่องที่จะเน้นเกี่ยวกับการให้บุคคลมีการรับรู้ตนเองได้ตามความเป็นจริง (self perception) เพื่อบุคคลจะได้มีการมองตนเอง
(self concept) อย่างถูกต้อง ซึ่งจะได้พัฒนาบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมต่อไป
2. ปฏิสัมพันธ์ในสังคม (social interaction) ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาพลวัตได้กล่าวไว้ว่าการที่บุคคลจะเกิดมี
บุคลิกภาพอย่างไรนั้น เป็นผลของการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม ซึ่งจะท าให้บุคคลได้พบกับลักษณะของความด้อย-ความ
เด่น ตลอดจนการมีครรลองชีวิตที่เป็นของตนเอง ปฏิสัมพันธ์ในสังคมจึงเป็นเรื่องที่มีความส าคัญมากเพราะท าให้บุคคลได้มี
โอกาสรับรู้ตนเองจากภาพการมองของผู้อื่น ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาฉายภาพตัวตนของบุคคลออกมาได้ชัดเจนกว่าการที่บุคคล
มองตนเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีอคติส าหรับตนเองด้วยในบางครั้งหรือบ่อยครั้ง การรับรู้ตนเองอย่าง ถูกต้องจะท าให้
บุคคลสามารถแสดงออกซึ่งบทบาทที่เหมาะสมและเกิดบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ตามมาด้วย ความเด่น-ความด้อย และครรลอง
ชีวิตของบุคคลจะมีผลในการสร้างรูปแบบของบุคลิกภาพทั้งทางที่สังคมพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการสร้างเสริม
บุคลิกภาพในบุคคลก็ควรจะได้ค านึงถึงความส าคัญของปฏิสัมพันธ์ในสังคมประกอบด้วยอีกประการหนึ่ง
P a g e 2
3. การเรียนรู้ทางสังคม (social learning) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมได้ให้แนวคิดพื้นฐานส าคัญว่าการเรียนรู้ทาง
สังคมนั้นเป็นกระบวนการที่บุคคลไดรับข้อมูลต่างๆ จากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม โดยจะมี
กระบวนการจ า และน ามาใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามต่อไป นักจิตวิทยาได้เน้นความส าคัญในแนวคิดนี้ด้วยว่า การเรียนรู้
และการแสดงออกเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกัน คือการเรียนรู้ใช้เพียงการสังเกตเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่การแสดงออกเป็น
พฤติกรรมนั้นจะต้องมีการใช้ทั้งแบบอย่างที่ได้รับมาจากการสังเกตและ กระบวนการที่จะเลือกแบบอย่างที่เหมาะสมมาใช้ ดังนั้น
จากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมจะช่วยท าให้เราได้ทราบว่า บุคลิกภาพของบุคคลที่เกิดขึ้นมานั้น ต้องอาศัยทั้งการที่บุคคลมี
ความจ าในแบบอย่างของพฤติกรรมของผู้อื่น แล้วน ามาเข้ากระบวนการเลือกสรร แล้วจึงแสดงออกเป็นบุคลิกภาพที่ปรากฏให้
เห็น ฉะนั้นถ้าหากจะให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมแล้ว การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
ก็ควรจะมีขั้นตอนของการให้บุคคลได้สังเกตแบบอย่างพฤติกรรมที่เหมาะสม แล้วน าไปใช้ในกระบวนการเลือกสรร
เพื่อพัฒนาเป็นบุคลิกภาพของตนเอง
4. ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ลักษณะนี้ค่อนข้างจะเป็นพื้นฐานของบุคลิกภาพที่ปรากฎทางกายและสมอง
บางอย่าง ซึ่งบุคคลที่เกิดมาแล้วจะเลือกหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นคนเตี้ย โดยพ่อแม่ทั้งสองคน ถึงแม้จะได้รับอาหาร
ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักโภชนาการก็จะมีการเติบโตเพิ่มมากกว่าพ่อแม่บ้าง แต่ก็คงจะไม่เหมือนกับคนที่มี
พันธุกรรมเป็นคนสูงทั้ง ครอบครัว หรือโรคบางอย่างที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น สติปัญญาอ่อน ตาบอดสี ก็คงจะยากที่จะ
ได้รับการแก้ไข ดังนั้นจึงจะเป็นเรื่องของการปรับตัวต่อสภาพทางพันธุกรรมที่มีอยู่มากกว่าแก้ไขให้หมดไป การเสริมสร้าง
บุคลิกภาพตามพื้นฐานประการนี้ก็น่าจะเป็นการสร้างและเสริมบุคลิกภาพให้ดีตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล มากกว่าการ
เปรียบตนเองกับบุคคลอื่น
จะเห็นได้ว่าปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ ล้วนมีอิทธิพลต่อการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่เหมาะสมทั้งสิ้น ซึ่งในการสร้างเสริม
บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมนั้น ก็จะได้อาศัยปัจจัยเหล่านี้ในการก าหนดวิธีการในการสร้างและเสริมบุคลิกภาพต่อไป
ในการสร้างและเสริมบุคลิกภาพของบุคคลนั้น ควรที่จะต้องแยกพิจารณาเป็น 2 ประเด็น คือ การสร้างบุคลิกภาพ
และการเสริมหรือการปรับปรุงบุคลิกภาพ
การสร้างบุคลิกภาพ หมายถึง กระบวนการที่จะท าให้เกิดบุคลิกภาพขึ้นในตัวของบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่จ าเป็นที่จะต้อง
เริ่มสร้างสมมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงจะท าให้เกิดบุคลิก ภาพที่พึงประสงค์ของสังคมได้ สถาบันทางสังคมและการศึกษา จะต้องท า
หน้าที่รับผิดชอบในการสร้างบุคลิกภาพให้แก่บุคคล สถาบันสังคมที่มีความส าคัญต่อการสร้างบุคลิกภาพก็ได้แก่
ครอบครัว โรงเรียน ศาสนา และวัฒนธรรม
P a g e 3
การสร้างบุคลิกภาพให้แก่บุคคลในสังคมนั้นควรจะต้องพิจารณาสร้างบุคลิกภาพใน 2 ประการหลักคือ
1. การสร้างบุคลิกภาพตามความต้องการของสังคม การสร้างบุคลิกภาพแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนความคิดเชิง
สังคมของบุคคล และจะช่วยท าให้สังคมสามารถด ารงอยู่ได้อย่างเป็นสุขและมั่นคง ส าหรับประเทศไทยเราเองนั้น บุคลิกภาพตาม
ความต้องการ ของสังคมควรจะต้องเริ่มด้วยบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย ซึ่งในความเข้าใจของคนไทยทั่วไป ยังมีคนอีกจ านวน
มาก ที่มีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับเรื่องของการมีบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย โดยมักจะใช้บุคลิกภาพแบบตามใจตัวเอง ยึด
ตนเองเป็นหลักแล้วเรียกว่า บุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างบุคลิกภาพดังกล่าวนี้ จึงควรที่จะให้ครอบครัว
และโรงเรียนได้มีส่วนร่วมในการสร้างบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแก่เด็กและเยาวชน โดยการอบรมเลี้ยงดูในบ้าน
ก็ควรจะเป็นประชาธิปไตย จะต้องมีการควบคุมให้เหมาะสมระหว่าง ลักษณะของการออกค าสั่งกับการปล่อยตามใจเด็ก เพื่อจะ
ได้ให้เด็กเริ่มเรียนรู้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจากครอบครัวก่อน ส่วนโรงเรียนก็จะเป็นอีกแหล่งหนึ่ง ที่จะสร้างบุคลิกภาพ
ประชาธิปไตย กล่าวคือ ครูควรจะมีลักษณะการสอนแบบประชาธิปไตย บรรยากาศการเรียนในห้องเรียน ก็ควรจะใช้หลักการ
บริหารนักเรียนแบบนี้ด้วย เช่น การเลือกตั้งหัวหน้าก็ควรจะได้มีการด าเนินการให้สอดคล้องกับกระบวนการ เลือกตั้งของสังคม
และใคร่จะขอย้ าอีกครั้งหนึ่งว่า ประชาธิปไตยในห้องเรียนไม่ใช่การปล่อยให้นักเรียนท าอะไรตามใจชอบ แต่จะต้องปฏิบัติตาม
กฎระเบียบที่กลุ่มได้ร่วมกันวางไว้และถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องมีการลงโทษบ้างตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
อีกเรื่องหนึ่งในการสร้างบุคลิกภาพของคนไทยก็คือ บุคลิกภาพตามหลักทางพุทธศาสนา ประเทศไทยเป็นประเทศ
ที่ประชาชนกว่า ร้อยละ 90 นับถือพุทธศาสนา จึงจะเห็นได้ว่าบุคลิกภาพของคนไทย จะโน้มเอียงไปใน ทางความเชื่อของศาสนา
มาก เช่น การมีศีลธรรม การท าความดี เป็นต้น ส าหรับศาสนาอื่นๆ ในประเทศไทย ก็จะมีหลักของศาสนาที่จะอบรม และสร้าง
บุคลิกภาพ ทางศาสนาให้แก่บุคคล ในแนวทางที่คล้ายคลึงกับ ศาสนาพุทธในเรื่อง ของศีลธรรม และการท าความดีเช่นกัน
การสร้างบุคลิกภาพตามหลักวัฒนธรรม ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพของคนไทย เช่น
บุคลิกภาพอ่อนน้อม บุคลิกภาพเชื่อฟังผู้ใหญ่บุคลิกภาพการมีใจกว้าง เป็นต้น
2. การสร้างบุคลิกภาพส่วนบุคคล เป็นลักษณะการสร้างบุคลิกภาพเฉพาะแต่ละคน แม้บุคคลจะมีความแตกต่าง
กันไป ตามความ แตกต่าง ระหว่างบุคคล แต่เมื่อบุคลิกภาพเฉพาะของบุคคลแสดงออก ก็ควรเป็นบุคลิกภาพที่สังคมพึงประสงค์
ด้วย การสร้างบุคลิกภาพ ส่วนบุคคลจะต้องอาศัย กระบวนการพัฒนาบุคคลในด้านต่างๆ ซึ่งได้แก่
2.1 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสรีระและร่างกาย ควรจะได้มีการส ารวจความเจริญเติบโตของร่างกายเด็กทุก
ระยะ เช่น เด็กพูดได้หรือยัง พูดชัดหรือไม่ชัดฟันขึ้นปกติหรือไม่ เรียบหรือเก มีแขนขา ร่างกายส่วนใดผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีสิ่ง
ผิดปกติก็จะได้ช่วยดัดแปลง แก้ไข หรือถ้าเกินความสามารถก็จะได้ปรึกษาแพทย์ให้ช่วยเหลือแก้ไข
2.2 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสติปัญญา ต้องคอยระวังอย่าให้เด็กได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง เช่น
หกล้มอย่างแรง หรือมีอะไรกระทบสมองอย่างแรงเพราะจะท าให้สมองเสื่อม ระวังการเจ็บไข้และโรคบางชนิดที่จะเป็นผล
กระทบกระเทือนถึงสมอง ควรจะให้เด็กได้รู้จักฝึกฝน และรู้จักใช้สมองบ้างตามความเหมาะสม
2.3 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางการควบคุมอารมณ์ อารมณ์มีส่วนส าคัญในการช่วยสร้างบุคลิกภาพของคนมาก
ที่สุดอย่างหนึ่ง ส าหรับเด็ก ความรักมีอิทธิพลในทางอารมณ์มาก เพราะอาจจะก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ทั้งในทางที่ดีและไม่ดีได้
ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นว่าเมื่อเด็กที่ขาดความรักจากพ่อแม่ จะเกิดความว้าเหว่า ขาดความอบอุ่นทางใจ
P a g e 4
ขาดความปลอดภัย เขาก็จะหาทางออกโดยการเรียกร้องความสนใจหรือแสดงการก้าวร้าว ในที่สุดจะท าให้เขา
ประพฤติด้วยไม่ดี ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นคนช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะท าให้เกิดอารมณ์ที่ไม่
พึงประสงค์นี้เสีย เพื่อเด็กจะได้มีพัฒนาการทางอารมณ์ไปในทางที่ถูกต้องของแต่ละวัยจนเป็นผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์มั่นคง
2.4 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสังคม เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กย่อมจะอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น จากบ้านขยายไปอยู่
โรงเรียน และชุมชนตามล าดับ เด็กจึงจ าเป็นที่จะต้องรู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมได้ทุกๆ ระยะผู้ใหญ่ควรจะให้้ค าแนะน า และ
ช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถท าได้ เพื่อเด็กจะได้ไม่เป็นคนหลบหนีสังคม ซึ่งอาจจะเป็นผลเสีย ท าให้เกิดโรคจิตบางประเภทได้
การเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย หมายถึงกระบวนการในการพัฒนาหรือปรับปรุงบุคลิกภาพ และลักษณะ
นิสัยที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เป็นไปตามแนวทางที่พึงประสงค์ของสังคม การเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยนั้นเป็นเรื่องที่ท าขึ้น
ภายหลังจากที่บุคคล ได้สร้างบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยมาแล้ว การจะเสริมบุคลิกภาพให้ได้ผลดีนั้นควรจะท าเสียแต่ในวัย
ต้นๆ ของชีวิตคือ ก่อนที่บุคลิกภาพจะฝังรากลึกจนกระทั่งยากต่อการปรับปรุง กระบวนการเสริมบุคลิกภาพอาจจะมีขั้นตอน
ดังนี้คือ
1. การส ารวจตนเอง เป็นกระบวนการที่บุคคลเริ่มส ารวจบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้
ตนเองนั้น มีลักษณะ บุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยอย่างไรบ้างและบุคลิกภาพที่มีอยู่นั้นควรกับความต้องการของสังคมหรือไม่
เคยมีปัญหาใด ในการแสดง บุคลิกภาพบ้างหรือไม่ การส ารวจตนเองจะท าได้ใน 2 ทางคือ
1.1 การวิเคราะห์ตนเอง เป็นการที่บุคคลพยายามค้นหาองค์ประกอบบุคลิกภาพของตนเอง เพื่อได้ทราบว่า
องค์ประกอบแต่ละอย่างนั้น มีความสมบูรณ์ถูกต้อง อย่างไรบ้างเมื่อแยกวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ แล้ว ก็ควรจะประเมินสรุป
บุคลิกภาพของตนเองว่า ควรจะคงไว้ในส่วนใด และควรจะปรับปรุงในส่วนใด ที่ส าคัญคือผู้วิเคราะห์ตนเองจะต้องยอมรับใน
ข้อบกพร่องเพื่อการแก้ไขต่อไปด้วย
1.2 การรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น โดยปกติแล้วมนุษย์จะมีความล าเอียงเข้าข้างตนเองเสมอๆ ดังนั้นการ
วิเคราะห์ตนเอง เพียงประการ เดียว อาจจะยังไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอในการปรับปรุงบุคลิกภาพ จึงจ าเป็นจะต้องประเมิน
ตนเอง โดยการอาศัยการมอง ของผู้อื่นว่า เขาคิดอย่างไรต่อบุคลิกภาพของเรา เพื่อจะได้น าส่วนที่บกพร่องมา แก้ไขต่อไป
2. การรู้จักตนเอง เมื่อบุคคลส ารวจตนเองได้ข้อมูลมากเพียงพอแล้ว บุคคลควรจะประมวลสรุปบุคลิกภาพเพื่อ
รู้จักตนเองใน 3 ลักษณะ คือ
2.1 อุปนิสัยและนิสัยของตนเอง
2.2 ลักษณะส่วนรวมของตนเอง และ
2.3 บทบาทของตนเอง
3. การรู้จักปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย เป็นการน าข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ตนเองแล้วมาตรวจพบข้อบกพร่องต่างๆ ซึ่งจ าเป็นจะต้องมีการปรับปรุง โดยการที่บุคคลจะต้องมองหาลักษณะบุคลิกภาพ ที่จะเป็นแบบอย่างที่จะใช้ใน
การปรับปรุงต่อไปแล้ว พยายามเตือนตนเอง ให้ละทิ้งบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเดิมที่บกพร่อง แล้วพยายามปฏิบัติตาม
แบบอย่าง ของบุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยใหม่ การปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและจะต้องมี
ความตั้งใจจริง โดยตัวของบุคคล ที่จะปรับปรุงบุคลิกภาพเอง จะต้องให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ด้วยการยอมรับข้อบกพร่อง
ของตน และผลที่มีต่อตนเอง และผู้อื่นเป็น ประการส าคัญ ทั้งต้องรู้จักแสวงหาหนทางที่จะช่วยให้ ตนเองได้รับรู้บุคลิกภาพ และ
P a g e 5
ลักษณะนิสัยที่สร้างสรรค์อันควร ต่อการเสริมสร้าง ให้เกิดขึ้น และที่ส าคัญก็คือ การส่งเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย
ดังกล่าวนี้ จะต้องไม่ไปกระทบกระเทือนต่อ การมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือความเป็นตัวของตัวเอง
ความแตกต่างและความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพของบุคคลแต่ละคนจะมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน แต่ก็อาจมีบางคนที่มีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึง
กัน ได้บ้าง ดังนั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่าบุคลิกภาพของบุคคลมีความแตกต่างกัน นอกจากความแตกต่างของบุคลิกภาพ ใน
ลักษณะปกติแล้ว บางครั้ง บุคลิกภาพของบุคคลก็จะมีการผันแปรออกไปจากมาตรฐานที่สังคมก าหนด ความเบี่ยงเบนของ
บุคลิกภาพนี้ จะทราบได้โดย การประเมินบุคลิกภาพด้วยวิธีการต่างๆ
ความแตกต่างของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพของบุคคลจะแตกต่างกันเพราะ บุคคลที่มีความแตกต่างกันโดยพื้นฐานต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น